>>  ข้อมลทั่วไป

 

>>  สถานที่ท่องเที่ยว

----------------------------------------------------------------------

สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดร้อยเอ็ด

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด
          ตั้งอยู่ที่ถนนเพลินจิต ใกล้ศาลากลางจังหวัด เดิมทีจัดตั้งตามดำริของท่านศาสตราจารย์ ดร.ก่อ สวัสดิพาณิชย์ เพื่อจัดแสดงผ้าไหมพื้นเมืองและงานศิลปหัตถกรรมของจังหวัดร้อยเอ็ด ต่อมากรมศิลปากร มีนโยบายในการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำเมือง เพื่อแสดงเรื่องราวด้านต่าง ๆของจังหวัด พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด จึงได้รับการปรับปรุงให้มีลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์ฯ ประจำเมืองแห่งแรกที่จัดตั้งขึ้นใหม่ภายใต้แนวนโยบายนี้และมีเนื้อหาการจัดแสดงครอบคลุมเกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่าง ๆ ของจังหวัดร้อยเอ็ดทั้งสภาพภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรณีโบราณคดี ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และงานหัตถกรรมการทอผ้าไหมที่มีชื่อเสียงของจังหวัด เปิดให้เข้าชมทุกวันเว้นวันจันทร์-อังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา ๐๙.๐๐–๑๖.๐๐ น.  ค่าเข้าชมคนไทย ๑๐ บาท คนต่างชาติ ๓๐ บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ๐ ๔๓๕๑ ๔๔๕๖

วนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด 
         
เป็นสวนสาธารณะกลางเมือง อยู่หน้าศาลากลางจังหวัด เปิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ มีเนื้อที่ประมาณ ๒๒๕ ไร่ ตกแต่งบริเวณด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ และต้นไม้น้อยใหญ่เพื่อให้ความร่มรื่น จุดเด่นของสวนแห่งนี้อยู่ที่น้ำพุบริเวณใจกลางสวน มีหอนาฬิกากลางเมืองสวยเด่นเป็นสง่าแก่เมืองร้อยเอ็ด มีอาคารอ่านหนังสือไว้สำหรับบริการประชาชน สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลและพิธีการต่างๆ ของจังหวัด เช่น งานปีใหม่

บึงพลาญชัย 
        
ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองร้อยเอ็ด ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด มีลักษณะเป็นเกาะอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ ๒ แสนตารางเมตร เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกขนาดใหญ่ มีพันธุ์ไม้ต่างๆ ร่มรื่น และในบึงน้ำมีปลาชนิดต่างๆ หลายพันธุ์ มีเรือจักรยานน้ำและเรือพายไว้บริการประชาชนพายเล่นในบึง ค่าเช่าลำละ ๕๐ บาท / ๑ ชั่วโมง นอกจากนั้นยังใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลของจังหวัด

วัดกลางมิ่งเมือง 
         
ตั้งอยู่บนถนนเจริญพานิชย์ เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างก่อนตั้งเมืองร้อยเอ็ด ส่วนอุโบสถสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลายในอดีตเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ปัจจุบันเป็นสถานที่ศึกษาปริยัติธรรม และสถานที่สอบธรรมสถาน ชื่อโรงเรียนสุนทรธรรมปริยัติ บริเวณผนังรอบพระอุโบสถมีภาพวาดจิตรกรรมเกี่ยวกับพุทธประวัติ สวยงามและมีค่าทางศิลปะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ๐ ๔๓๕๑ ๒๔๐๐

ปรางค์กู่หรือปราสาทหนองกู่ 
           
ตั้งอยู่ที่บ้านยางกู่ ตำบลมะอึ  ปรางค์กู่ คือ กลุ่มอาคารที่มีลักษณะแบบเดียวกันกับอาคารที่เชื่อกันว่า คืออโรคยาศาลตามที่ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรหมอันประกอบด้วย ปรางค์ประธาน บรรณาลัย กำแพงพร้อมซุ้มประตูและสระน้ำนอกกำแพง โดยทั่วไปนับว่าคงสภาพเดิมพอควร โดยเฉพาะปรางค์ประธานชั้นหลังคาคงเหลือ ๓ ชั้น และมีฐานบัวยอดปรางค์อยู่ตอนบน อาคารอื่นๆ แม้หักพังแต่ทางวัดก็ได้จัดบริเวณให้ดูร่มรื่นสะอาดตา
          นอกจากนี้ภายในกำแพงด้านหน้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ยังพบโบราณวัตถุอีกหลายชิ้นวางเก็บรักษาไว้ใต้อาคารไม้ ได้แก่ทับหลังหินทราย สลักเป็นภาพบุคคลนั่งบนหลังช้างหรือวัว ภายในซุ้มเรือนแก้วหน้ากาล จากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดศรีรัตนาราม กล่าวว่าเป็นทับหลังหน้าประตูมุขของปรางค์ประธาน เสากรอบประตู ๒ ชิ้น ชิ้นหนึ่งมีภาพสลักรูปฤาษีที่โคนเสาศิวลึงค์ขนาดใหญ่พร้อมฐานที่ได้จากทุ่งนาด้านนอกออกไป และชิ้นส่วนบัวยอดปรางค์ ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นฐานของพระสังกัจจายน์ปูนปั้น กำหนดอายุว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘

บ้านหวายหลึม 
          ตั้งอยู่ที่ตำบลมะบ้า กิ่งอำเภอทุ่งเขาหลวง บนเส้นทางสายร้อยเอ็ด-ยโสธร ทางหลวงหมายเลข ๒๓ บริเวณกิโลเมตรที่ ๑๔๕-๑๔๖ ห่างจากตัวเมืองร้อยเอ็ด ๒๕ กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์  ซึ่งเป็นหมู่บ้านทอผ้าไหมที่มีชื่อเสียงของจังหวัดร้อยเอ็ด อีกทั้งเป็นศูนย์รวมและจำหน่ายหัตถกรรมพื้นบ้าน อาทิ กระเป๋า ผ้าฝ้าย เสื้อผ้าสำเร็จรูป

กู่กาสิงห์   
          ตั้งอยู่ในวัดบูรพากู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบเขมรอีกแห่งหนึ่ง มีขนาดค่อนข้างใหญ่และยังอยู่ในสภาพดีพอควร ประกอบด้วย ปรางค์ ๓ องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน มีวิหารหรืออาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรียกว่าบรรณาลัย อยู่ทางด้านหน้าทั้งสองข้าง ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงซึ่งมีซุ้มประตูทั้ง ๔ ทิศ ถัดออกไปเป็นคูน้ำรูปเกือกม้าล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง

ทุ่งกุลาร้องไห้ 
         
มีเนื้อที่ ๒,๑๐๗,๖๘๑ ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ ๕ จังหวัด คือ ในแนวทิศเหนือนั้นครอบคลุมอำเภอปทุมรัตต์ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ และอำเภอโพนทราย ของจังหวัดร้อยเอ็ด ในแนวทิศใต้มีลำน้ำมูลทอดยาวตลอดพื้นที่อำเภอชุมพลบุรี อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ในแนวทิศตะวันตกผ่านอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร และอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยของจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ประมาณ ๓ ใน ๕ นั้นอยู่ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด
          สาเหตุที่ทุ่งกว้างแห่งนี้ได้ชื่อว่าทุ่งกุลาร้องไห้นั้น มีเรื่องเล่ากันว่า พวกกุลาซึ่งเป็นพวกที่เดินทางค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ ในสมัยโบราณได้ชื่อว่าเป็นนักต่อสู้ คือ มีความเข้มแข็งอดทนเป็นเยี่ยม แต่เมื่อพวกกุลาเดินทางมาถึงทุ่งนี้ ได้รับความทุกข์ยากเป็นอันมากถึงกับร้องไห้ เพราะตลอดทุ่งนี้ไม่มีน้ำหรือต้นไม้ใหญ่เลย ฤดูแล้งแผ่นดินก็แห้งแตกระแหง ซึ่งเป็นพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในอดีต ปัจจุบันเป็นที่ทำการของศูนย์พัฒนาที่ดินทุ่งกุลาร้องไห้ กรมพัฒนาที่ดิน ทุ่งกุลาร้องไห้อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอสุวรรณภูมิ ๖ กิโลเมตร เลยกู่พระโกนาไปประมาณ 200 เมตร ตรงข้ามกับโรงเรียนโสภาพิทยาภรณ์

กู่พระโกนา 
          ตั้งอยู่ที่บ้านกู่ หมู่ ๒ ตำบลสระคู  กู่พระโกนา ประกอบด้วย ปรางค์อิฐ ๓ องค์ บนฐานศิลาทราย เรียงจากเหนือ-ใต้ ทั้งหมดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีกำแพงล้อมและซุ้มประตูเข้า-ออกทั้ง ๔ ด้าน ก่อด้วยหินทรายเช่นกัน
            ปรางค์องค์กลางถูกดัดแปลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ โดยการฉาบปูนทับและก่อขึ้นเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นมีซุ้มพระทั้ง ๔ ทิศ หน้าปรางค์องค์กลางชั้นล่างสร้างเป็นวิหารพระพุทธบาทประดับเศียรนาค ๖ เศียรของเดิมไว้ด้านหน้า ส่วนปรางค์อีก ๒ องค์ ก็ได้รับการบูรณะจากทางวัดเช่นกัน แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยนรูปทรงอย่างปรางค์องค์กลาง ปรางค์องค์ทิศเหนือทางวัดสร้างศาลาครอบ ภายในมีหน้าบันสลักเรื่องรามายณะ และทับหลังสลักภาพพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ติดอยู่ที่เดิม คือเหนือประตูทางด้านหน้า ส่วนทับหลังประตูด้านทิศตะวันตกหล่นอยู่บนพื้นเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ปรางค์องค์ทิศใต้ยังคงมีทับหลังของเดิมเหนือประตูหลอกด้านทิศเหนือเป็นภาพเทวดานั่งชันเข่าในซุ้มเรือนแก้วเหนือหน้ากาล นอกจากนี้ทางด้านหน้ายังมีทับหลังหล่นอยู่ที่พื้น เป็นภาพพระอิศวรประทับนั่งบนหลังโค และมีเสานางเรียงวางอยู่ด้วย สันนิษฐานว่า กู่พระโกนาเดิมจะมีสะพานนาคและทางเดินประดับเสานางเรียงทอดต่อไปจากซุ้มประตูหน้าไปยังสระน้ำ หรือบารายซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๓๐๐ เมตร จากรูปแบบลักษณะทางศิลปกรรมทั้งหมดของภาพสลัก และเสากรอบประตู ซึ่งเป็นศิลปะขอมที่มีอายุในราว พ.ศ. ๑๕๖๐-๑๖๓๐ (แบบบาปวน) สันนิษฐานว่ากู่พระโกนาคงจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖

สิมวัดไตรภูมิคณาจารย์
          ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านตากแดด ตำบลหัวโทน ลักษณะทางศิลปกรรม เป็นสิมแบบพื้นเมืองอีสาน ประเภทสิมทึบ มีกำแพงแก้วเตี้ย ๆ ล้อมรอบหน้าบันและรังผึ้งของสิมมีลายแกะสลักสวยงามภายในมีจิตรกรรมหรือ ฮูปแต้ม แสดงเรื่องในพุทธศาสนา สันนิษฐานว่ามีอายุในราวสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้านนอกสิมมีพระพุทธรูปแบบอีสานขนาดใหญ่ ซึ่งย้ายมาจากวัดใต้วิไลธรรม ในเขตอำเภอเดียวกัน (สิมวัดไตรภูมิคณาจารย์ ได้รับการบูรณะโดยกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๑ และได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามประจำปี ๒๕๔๑)

บึงเกลือ  (ทะเลอีสาน) 
          อยู่ในเขตตำบลเมืองไพร  เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ ๗,๕๐๐ ไร่ ในบึงน้ำแห่งนี้มีน้ำขังตลอดปี ริมบึงมีหาดทรายขาวสะอาด กว้างขวาง มีแพร้านอาหารบริการอาหารอีสานและอาหารตามสั่งให้นักท่องเที่ยว

 

สิมวัดจักรวาฬภูมิพินิจ (วัดหนองหมื่นถ่าน)
          ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านหนองหมื่นถ่าน ตำบลหนองหมื่นถ่าน สิมวัดจักรวาฬภูมิพินิจ มีลักษณะทางศิลปกรรมแบบพื้นเมืองอีสาน ประเภทสิมทึบ หน้าบันหรือรังผึ้งมีลวดลายแกะสลักไม้ หลังคาทำจากกระเบื้องไม้ ภายนอกมี ฮูปแต้ม เป็นภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ ภาพขุมนรก และภาพพระพุทธองค์ ขณะปลงพระเกศา มีพระอินทร์มารับนำไปประดิษฐานยังเจดีย์จุฬามณี ภายในโบสถ์มีภาพวรรณคดีพื้นเมืองเรื่องสังข์ศิลป์ชัย สันนิษฐานว่ามีอายุในราวสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์ 
          ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๑๕๑,๒๔๒ ไร่ โดยสภาพพื้นที่จะเป็นเทือกเขาหินทรายสูงชันและสลับซับซ้อน ประกอบด้วยป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าที่พบในพื้นที่ป่าแห่งนี้ ได้แก่ หมูป่า  เก้ง   สุนัขจิ้งจอก  ลิง  กระรอก  กระแต  เป็นต้น จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจในบริเวณเขตห้ามล่าฯ คือ ผาภูไท เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น และผาหมอกมิวาย เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ๒ เส้นทาง ระยะทาง ๒ กิโลเมตร และ ๓ กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินเองได้  บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์ มีบริการบ้านพักและสถานที่สำหรับกางเต็นท์ หากต้องการเข้าพักเป็นหมู่คณะ และต้องการเจ้าหน้าที่นำทางต้องทำหนังสือติดต่อล่วงหน้าไปยังหัวหน้าสวนพฤกษศาสตร์และวรรณคดีตะวันออกเฉียงเหนือ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าผาน้ำทิพย์  ตู้ ปณ.๑ ตำบลบึงงาม อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ๔๕๒๑๐  สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. ๐ ๙๕๕๑ ๑๗๘๒

พระมหาเจดีย์ชัยมงคล 
         
เป็นพระเจดีย์ที่ใหญ่องค์หนึ่งของประเทศไทย ออกแบบโดยกรมศิลปากร เป็นสีขาวตกแต่งลวดลายตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง ๘ ทิศ มีความกว้าง ๑๐๑ เมตร ความยาว ๑๐๑ เมตร ความสูง ๑๐๑ เมตร สร้างในเนื้อที่ ๑๐๑ ไร่ เป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  และได้ตกแต่งลวดลายงามวิจิตรของศิลปะยุคใหม่และยุคเก่าผสมเป็นศิลปะร่วมสมัยที่หาดูได้ยาก พระมหาเจดีย์ชัยมงคลนี้ตั้งอยู่ในบริเวณวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม ภายในพระมหาเจดีย์มีทั้งหมด ๖ ชั้น

 

 
 
 
 
 
 
 

Webmaster : wanleeya lomloi contract to : wanleeya lomloi@yahoo.com Tel :  06-7508678
copyright 2006 All right reserved